(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย

(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย
ผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถที่เช่าซื้อคืน สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายจากผู้เช่าซื้อได้ เมื่อพิจารณาถึงสภาพรถที่เช่าซื้อซึ่งเป็นรถใหม่ และการนำรถไปใช้บรรทุกดินเพื่อรับจ้างแล้ว เห็นควรกำหนดค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่าซื้อที่คู่สัญญาต้องชำระแก่กันในแต่ละเดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4921/2549

จำเลยให้การโดยชัดแจ้งว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ทั้งปรากฏตามหลักฐานใบรับรถซึ่งจำเลยเป็นฝ่ายอ้างส่งว่า โจทก์ได้รับรถที่เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ดังนั้น จึงต้องฟังว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ดังนั้น คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายจากจำเลยได้ เมื่อพิจารณาถึงสภาพรถที่เช่าซื้อซึ่งเป็นรถใหม่ และการนำรถไปใช้บรรทุกดินเพื่อรับจ้างของจำเลยแล้ว เห็นควรกำหนดค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายแก่โจทก์เท่ากับค่าเช่าซื้อที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ในแต่ละเดือน

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อจำนวน 408,753 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 392,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 177,100 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 168,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 เมษายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2539 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อ 1 คัน จากโจทก์ ในราคา 2,016,000 บาท กำหนดผ่อนชำระงวดละ 56,000 บาท รวม 36 งวด ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อ จำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าให้แก่โจทก์จำนวน 7 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 56,000 บาท เมื่อถึงกำหนดเวลาตามเช็คแต่ละฉบับ โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ปรากฏตามเช็คและใบคืนเช็ค ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2540 โจทก์ได้รับรถที่เช่าซื้อคืนจากจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยมิได้ปฏิเสธลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายว่ามิใช่ลายมือชื่อของจำเลย ถือว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายจริง จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิดโดยอ้างว่า สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วโจทก์ไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย หาใช่ตกแก่โจทก์ดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 4 คืองวดวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันในวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 ดังนั้น เช็คพิพาทที่จำเลยชำระหนี้ค่าเช่าซื้อประจำงวดวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 วันที่ 1 สิงหาคม 2540 และวันที่ 1 กันยายน 2540 จึงไม่มีมูลหนี้ จำเลยไม่มีภาระต้องชำระแก่โจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยให้การโดยชัดแจ้งว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ที่จำเลยอ้างว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 จึงแตกต่างจากคำให้การ ทั้งปรากฏตามหลักฐานใบรับรถซึ่งจำเลยเป็นฝ่ายอ้างส่งว่า โจทก์ได้รับรถที่เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ดังนั้น จึงต้องฟังว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ดังนั้น คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายจากจำเลยได้ เมื่อพิจารณาถึงสภาพรถที่เช่าซื้อซึ่งเป็นรถใหม่ และการนำรถไปใช้บรรทุกดินเพื่อรับจ้างของจำเลยแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหายแก่โจทก์เท่ากับค่าเช่าซื้อที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ในแต่ละเดือน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คฉบับลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2540 วันที่ 1 สิงหาคม 2540 และวันที่ 1 กันยายน 2540 พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
( วิเชียร มงคล - กิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์ - พงษ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ )
ศาลจังหวัดสมุทรปราการ - นายสรวิศ รักษ์มณี
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 - นายปรีชา เชิดชู

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 573 ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็น อยู่เดิมแต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดั่งกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วยคิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้
ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้นการที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการ นั้นๆหรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทนก็ให้ใช้ตามนั้น
การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US