ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
แม้ในความผิดที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่ในความผิดที่ไม่ต้องห้ามฎีกาและจำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น ศาลมีอำนาจลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2552
การใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษโดยคำนึงถึงความรู้สึกผิดชอบของจำเลยที่ 3 เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน เมื่อศาลฎีกาลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานที่ไม่ต้องห้าม
ฎีกาแล้ว ก็มีอำนาจลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ด้วย
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 317
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความ
ผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม
จำคุกคนละตลอดชีวิตฐานร่วมกับพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทา
โทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกคนละ 29 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุกคนละ 5 ปี ลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกรวมคนละ 27 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อข้อหาความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่
เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานนี้ไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 3 ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอมสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดใน
ขณะที่มีอายุเพียง 18 ปีเศษเท่านั้น จำเลยที่ 3 น่าจะยังมีความรู้สึกผิดชอบไม่มากนัก ทั้งยังปรากฏหลักฐานตามบันทึกการเจรจาตกลงเกี่ยวกับการชดใช้ทางแพ่งเอกสารหมาย จ.4 ว่ามารดาของจำเลยที่
3 ได้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 60,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสองไปแล้ว จึงเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แม้ข้อหา
ความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่การใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษในความ
ผิดตามฟ้องทั้งสองข้อหาโดยคำนึงถึงความรู้สึกผิดชอบของจำเลยที่ 3 เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานร่วมกันพรากเด็ก
อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารให้จำเลยที่ 3 ได้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษที่จะลงแก่จำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (เดิม) วางโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้า
ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี 4 เดือน ความผิดฐานร่วมกันกระทำชำระเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง
และเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม จำคุก 33 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 36 ปี 8 เดือน ลดโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 18 ปี 4 เดือน
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.
( พิทยา บุญชู - สิทธิชัย พรหมศร - พิษณุ ดำรงเกียรติวัฒนา )
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา - นายสมคิด บุญวัฒน์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสมพงศ์ แพนเดช