ฟ้องเท็จและเบิกความเท็จเรื่องสั่งจ่ายเช็ค

ฟ้องเท็จและเบิกความเท็จเรื่องสั่งจ่ายเช็ค
ในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็นเท็จ ส่วนในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยเบิกความว่ารับเช็คจากโจทก์เป็นค่าซื้อที่ดิน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คเพื่อเป็นประกันหนี้และเช็คไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2538

โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา3 จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่าจำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายเป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่1 จะซื้อจากจำเลยไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยโดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหาดังนี้แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตามแต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินมิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้วการกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา3 และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าวคำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเองฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5) เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่1 การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา3และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
________________________________

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175,177 วรรคสอง และมาตรา 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 และ 177 วรรคสอง ลงโทษตามมาตรา 175 จำคุก 2 ปีความผิดบานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 วรรคสอง ชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาของศาลแม้จะได้กระทำคนละคราวกัน แต่มีเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันถือเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวจำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี

จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)หรือไม่ข้อนี้ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่า จำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย เป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่ 1 จะซื้อจากจำเลย ไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 5006/2533 โดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตาม แต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน มิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้ว การกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าว คำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเอง ฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เช็คตามภาพถ่ายเอกสารหมายจ.3 หรือหมาย ล.2 ขณะที่มอบให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับ ของโจทก์ที่ 1 การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จดังที่โจทก์ฟ้องแต่เห็นว่าจำเลยมีอาชีพเป็นหลักฐานและตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ที่ 1 แล้วจึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยให้เบาลงเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยมีอายุมากถึง 60 ปีแล้วเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษแก่จำเลยไว้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับจำเลยด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยฐานฟ้องเท็จ 1 ปีและปรับ 2,000 บาท ฐานเบิกความเท็จจำคุก 1 ปี และปรับ2,000 บาท รวมเป็นจำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

( ทวีชัย เจริญบัณฑิต - นิเวศน์ คำผอง - ดุสิต เพชรปลูก )

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US