หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง

ผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
ลูกสาวด่าพ่อว่า "ไอ้แก่กูไม่นับถือมึงอ้ายพ่อฉิบหาย" จากนั้นทั้งคู่เข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน และพ่อด่าลูกสาวว่า "อีสัตว์อีเหี้ย" ลูกสาวก็ด่าว่าพ่อว่า"อ้ายแก่อ้ายเนรคุณกูไม่นับถือมึง" ต่อมาลูกสาวและพ่อไปที่สถานีตำรวจเรื่องพ่อถูกลูกสาวกล่าวหาว่าขโมยโฉนด และลูกสาวได้ด่าพ่อด้วยคำหยาบคายเหมือนเดิมต่อหน้าคนหลายคนบนโรงพักเช่นนี้ พ่อถอนคืนการให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146, 1147/2503

แม้จำเลยซึ่งเป็นบุตรสาวจะได้อยู่บ้านปรนนิบัติโจทก์ผู้เป็นบิดามาแต่ผู้เดียวในเวลาเดียวกับที่พี่ๆ น้องๆไปศึกษาเล่าเรียนหรือไปอยู่ต่างจังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูงและเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว ส่วนบุตรคนอื่นๆ ไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเนื่องมาจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวนเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา

จำเลยเป็นบุตรสาวของโจทก์ เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิงคนใช้ที่บ้านพักจำเลยโดยหาว่าจำเลยเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ จำเลยไม่ยอม หาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหาจำเลย โจทก์จำเลยเถียงกัน จำเลยด่าโจทก์ว่า "ไอ้แก่กูไม่นับถือมึงอ้ายพ่อฉิบหาย" โจทก์ตบหน้าจำเลย จำเลยถีบเอาโจทก์ล้มลงแล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกช้ำดำเขียวไปทั้งสองฝ่าย โจทก์ด่าจำเลยว่าอีสัตว์อีเหี้ย จำเลยด่าโจทก์ว่า "อ้ายแก่อ้ายเนรคุณกูไม่นับถือมึง" มีคนห้ามจึงเลิกกัน ต่อมาอีก 5 วัน โจทก์และจำเลยมาสถานีตำรวจ เรื่องจำเลยหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีก จำเลยด่าโจทก์ว่า "มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก" ทั้งนี้ ต่อหน้าคนหลายคนเช่นนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการประพฤติเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้ว คือจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงเพราะจำเลยได้ว่าโจทก์ข่มขืนเด็ก ซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษทางอาญา การกล่าวอ้างทั้งนี้จะถือว่าเป็นเพียงการด่าว่าโต้ตอบกันไปมาระหว่างจำเลยกับโจทก์ไม่ได้ เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำหยาบที่ไร้ความหมาย หรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมายนอกไปจากเป็นคำหยาบหากแต่เป็นคำกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็กกรณีดังนี้ โจทก์ย่อมถอนคืนการให้ได้

คดี 2 สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดิน 7 แปลง ให้นางสาวพูนศรีจำเลย ซึ่งเป็นบุตรโจทก์โดยเสน่หา และมิใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ต่อมานางสาวพูนศรีจำเลยได้บังอาจทำร้ายร่างกายโจทก์อันเป็นความผิดทางอาญาอย่างร้ายแรง และบังอาจกล่าวข้อความว่า"อ้ายแก่ กูไม่นับถือมึง อ้ายพ่อฉิบฉาย อย่างนี้กูไม่คบมึง" ต่อหน้าบุคคลหลายคน เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง และต่อมานางสาวพูนศรีได้บังอาจกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงต่อหน้าบุคคลหลายคนว่า "อ้ายเนรคุณแก่อายุตั้ง 68 แล้ว ยังบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก" การกระทำของนางสาวพูนศรีจำเลยดังกล่าวเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ผู้เป็นบิดาโจทก์ขอถอนคืนการให้ที่ดิน นางสาวพูนศรีจำเลยไม่ยอมคืน และนางสาวพูนศรีกับนางสาวสวัสดิ์จำเลยได้สมคบกันโอนที่ดิน 3 แปลงในจำนวน 7 แปลงดังกล่าวข้างต้น คือ นางสาวพูนศรีโอนขายให้นางสาวสวัสดิ์โดยการไม่สุจริต นางสาวสวัสดิ์จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เรียกคืนที่ดินจากนางสาวพูนศรี กระทำให้โจทก์อยู่ในฐานะเสียเปรียบ จึงขอให้บังคับจำเลยคืนที่ดินให้โจทก์และเพิกถอนสัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าว

นางสาวพูนศรีจำเลยให้การว่า ที่ดิน 4 แปลง จำเลยซื้อเองส่วนอีก 3 แปลง คือ ที่โจทก์ว่าจำเลยขายให้แก่นางสาวสวัสดิ์จำเลยนั้น นางอินมารดา นางสาวพูนศรีจำเลยเป็นผู้ซื้อ ก่อนตายได้ทำพินัยกรรมยกให้นางสาวพูนศรีจำเลย

นางสาวสวัสดิ์จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้รับโอนที่ดินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์สืบได้สมฟ้อง พิพากษาให้นางสาวพูนศรีจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3 แปลง คืนให้โจทก์และให้เพิกถอนสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดิน 3 แปลงระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้นางสาวพูนศรีจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3 แปลงนี้คืนให้โจทก์

นางสาวพูนศรีจำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่ดิน 4 แปลง เป็นของนางสาวพูนศรีจำเลยไม่ใช่ที่ดินที่โจทก์ยกให้ นางสาวพูนศรีจำเลยจะประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์ก็เรียกที่ดิน 4 แปลงนี้คืนไม่ได้ ส่วนที่ดินอีก 3 แปลง มารดาทำพินัยกรรมยกให้นางสาวพูนศรี ๆ มีสิทธิ์โอนให้นางสาวสวัสดิ์จำเลยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ที่ดินทั้ง 4 แปลง โจทก์เป็นผู้ออกเงินซื้อและยกให้จำเลย ส่วนที่ดินอีก 3 แปลง ฟังว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางอิน ๆ ทำพินัยกรรมยกให้นางสาวพูนศรีจำเลยได้เฉพาะส่วนของนางอินเท่านั้น อีก 2 ส่วน ใน 3 ที่เป็นของโจทก์ ๆ โอนใส่ชื่อนางสาวพูนศรี โจทก์เรียกคืนส่วนนี้โดยอ้างเหตุเนรคุณได้

ข้อวินิจฉัยมีว่า นางสาวพูนศรีจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่

ในชั้นแรกศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์แก่นางสาวพูนศรีจำเลยดังปรากฏในคดีนี้ หาใช่การให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535(3) ไม่เพราะแม้นางสาวพูนศรีจำเลยจะได้อยู่กินปรนนิบัติโจทก์มาแต่ผู้เดียวในเวลาเดียวกันกับที่พี่ ๆ น้อง ๆ ไปศึกษาเล่าเรียนหรือไปอยู่ต่างจังหวัดก็ดี การที่โจทก์ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมากราคาสูง และเป็นทรัพย์ส่วนใหญ่ให้แก่นางสาวพูนศรีจำเลยแต่ผู้เดียวส่วนบุตรคนอื่นไม่ได้ ก็มีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเนื่องมาจากเหตุบางประการที่ไม่ปรากฏชัดแจ้งในสำนวน ฉะนั้น การให้ในกรณีนี้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา และไม่ตัดการถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณ

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2495 เวลากลางคืนโจทก์ไปตามเด็กหญิงนิตย์คนใช้ที่บ้านพักนางสาวพูนศรีจำเลยโดยหาว่านางสาวพูนศรีเอาเด็กนั้นมากักขังไว้ โจทก์จะให้เด็กกลับบ้านโจทก์ นางสาวพูนศรีไม่ยอมหาว่าโจทก์ปลุกปล้ำเด็กจะเอาเป็นภรรยา เด็กไม่ยอมจึงวิ่งมาหานางสาวพูนศรี โจทก์และนางสาวพูนศรีเถียงกัน นางสาวพูนศรีด่าโจทก์ว่า "ไอ้แก่ กูไม่นับถือมึงอ้ายพ่อฉิบหาย" โจทก์ตบหน้านางสาวพูนศรี ๆ ถีบเอาโจทก์ล้มลงแล้วต่างปล้ำทำร้ายกัน จนร่างกายฟกซ้ำดำเขียวไปทั้งสองข้างโจทก์ด่านางสาวพูนศรีว่า "อีสัตว์ อีเหี้ย" นางสาวพูนศรีด่าโจทก์ว่า"อ้ายแก่ อ้ายเนรคุณ กูไม่นับถือมึง" มีคนห้ามจึงเลิกรากันต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2495 โจทก์และนางสาวพูนศรีมาสถานีตำรวจเรื่องนางสาวพูนศรีหาว่าโจทก์ลักโฉนด เกิดโต้เถียงกันอีกนางสาวพูนศรีด่าโจทก์ว่า "มึงเนรคุณกู กูไม่นับถือมึง แก่แล้วยังบ้าตัณหา ข่มขืนเด็ก" ทั้งนี้ต่อหน้าคนหลายคน

ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของนางสาวพูนศรีจำเลยเข้าลักษณะตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) เป็นการประพฤติเนรคุณ คือ นางสาวพูนศรีจำเลยผู้รับได้ทำให้โจทก์ผู้ให้ เสียชื่อเสียงและหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงเพราะนางสาวพูนศรีได้ว่าโจทก์ข่มขืนเด็กซึ่งเป็นความผิดอันจักต้องโทษทางอาญา การกล่าวอ้างทั้งนี้จะถือว่าเป็นเพียงการด่าว่าโต้ตอบกันไปมาระหว่างนางสาวพูนศรีจำเลยกับโจทก์ ไม่ได้ เพราะคำที่กล่าวนั้น มิใช่เพียงคำหยาบที่ไร้ความหมายหรือที่มิได้ตั้งใจจะให้มีความหมายนอกไปจากเป็นคำหยาบ หากแต่เป็นการกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งนางสาวพูนศรีจำเลยยกขึ้นว่าเอากับโจทก์ว่าบ้าตัณหาข่มขืนเด็ก

ส่วนที่ดินอีก 3 โฉนด ศาลฎีกาฟังว่า นิติกรรมซื้อขายที่ดินรายนี้ระหว่างจำเลยทั้งสอง ทำกันเพียงเป็นพิธีเท่านั้น และเป็นไปโดยสมยอมกันเพื่อป้องกันมิให้โจทก์เรียกที่รายนี้คืน

ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

( สัญญา ธรรมศักดิ์ - เจริญ ฤทธิศาสตร์ - ประจักษ์ศุภอรรถ )

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติหลักเกณฑ์การถอนคืนการให้ไว้ในมาตรา 531 ดังนี้

มาตรา 531 "อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ
(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลา ที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US