สัญญาซื้อขายกับสัญญาเช่าซื้อ

สัญญาซื้อขายกับสัญญาเช่าซื้อ
กรณีนิติกรรมที่ทำกันไว้มีข้อความไม่ชัดแจ้งอาจตีความได้หลายนัย จึงให้ตีความการแสดงเจตนาโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงเป็นสำคัญยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร แต่สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีข้อความชัดแจ้งว่าเป็นสัญญาซื้อขายไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่321-322/2538

การทำสัญญาจะใช้แบบพิมพ์สัญญาประเภทใดไม่ใช่ข้อสำคัญหากแต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าข้อความที่ทำกันไว้ในแบบพิมพ์สัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาประเภทใดเมื่อสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีข้อความที่เขียนไว้ว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 100,000 บาท โดยโจทก์ได้ชำระราคาจำนวน 72,000 บาท ให้แก่จำเลยส่วนจำเลยได้มอบที่พิพาทพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญาสำหรับราคาค่าที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือโจทก์จะชำระให้แก่จำเลยในภายหลังจึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายมิใช่สัญญาเช่าซื้อ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 171 หมายถึงในกรณีนิติกรรมที่ทำกันไว้มีข้อความไม่ชัดแจ้งอาจตีความได้หลายนัยจึงให้ตีความการแสดงเจตนาโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงเป็นสำคัญยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรแต่สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีข้อความชัดแจ้งว่าเป็นสัญญาซื้อขายไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อจึงนำมาตรา 171 มาบังคับให้ต้องสืบพยานประกอบเพื่อตีความถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาหาได้ไม่

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2532 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 788 แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ชำระเงิน 72,000 บาทในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลือตกลงชำระในภายหลัง ต่อมาวันที่9 พฤษภาคม 2532 โจทก์ได้ชำระแก่จำเลยอีก 10,000 บาท ในวันทำสัญญาจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์ ต่อมาประมาณกลางเดือนตุลาคม 2532 โจทก์ได้นำเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก 18,000 บาท ไปชำระแก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับ และไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 18,000 บาท พร้อมให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ยอมรับเงินและไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน

จำเลยให้การว่า หนังสือสัญญาที่โจทก์อ้างไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายเนื่องจากคู่สัญญาไม่ได้ตกลงที่จะไปจดทะเบียนโอนกันในภายหน้าสัญญาที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาเช่าซื้อที่ดิน โดยโจทก์ตกลงเช่าซื้อเป็นเงิน 100,000 บาท ไม่ได้กำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อไว้โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้องวดแรกในวันทำสัญญา 72,000 บาท จำเลยได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดิน ในเดือนพฤษภาคม 2532 อีก 10,000 บาทหลังจากนั้นโจทก์ไม่เคยชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแก่จำเลยจำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2532 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 788 จากโจทก์ราคา 100,000 บาท ไม่ได้กำหนดเวลาผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไว้ จำเลยตกลงจะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้เสร็จใน 3 งวดจำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้องวดแรกในวันทำสัญญาเป็นเงิน 72,000 บาทและโจทก์ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินให้จำเลยยึดถือไว้ ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2532 จำเลยได้มาชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์อีก 10,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์อีก โจทก์บอกกล่าวจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.3 ก.) เลขที่ 788 แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินตามฟ้องจากโจทก์ แต่จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินจากโจทก์เป็นเงิน100,000 บาท จำเลยได้ชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ในวันทำสัญญา72,000 บาท ส่วนที่เหลือได้ชำระเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2532เป็นเงิน 10,000 บาท โจทก์ได้มอบการครอบครองที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลย จำเลยได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา ต่อมาจำเลยได้นำเงินค่าที่ดินที่เหลือไปชำระแก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกนายสงกรานต์ พะปะเสน ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรกและเป็นจำเลยในสำนวนหลังว่า โจทก์ และเรียกนายเสริม พลเวียงซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนแรกและเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 18,000 บาท แก่จำเลยคำขออื่นของโจทก์และจำเลยให้ยก จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2532 โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ต่อกัน แล้วจำเลยได้ส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 788ตำบลสองห้อง อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญาจนถึงปัจจุบัน และส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดิน (น.ส.3 ก.) ตามเอกสารหมาย จ.2ให้แก่โจทก์ด้วย คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาเช่าซื้อหรือไม่จำเลยฎีกาว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อแต่ไม่มีแบบพิมพ์สัญญาเช่าซื้อจึงได้ใช้แบบพิมพ์สัญญาซื้อขายแทน เห็นว่าการทำสัญญาจะใช้แบบพิมพ์สัญญาประเภทใดไม่ใช่ข้อสำคัญ หากแต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าข้อความที่ทำกันไว้ในแบบพิมพ์สัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาประเภทใด ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อความในสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้เอกสารหมาย จ.1 แล้ว มีข้อความที่เขียนไว้ในสัญญาว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 100,000 บาทโดยโจทก์ได้ชำระราคาจำนวน 72,000 บาท ให้แก่จำเลย ส่วนจำเลยได้มอบที่พิพาทพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญา สำหรับราคาค่าที่พิพาทส่วนที่เหลือโจทก์จะชำระให้แก่จำเลยในภายหลัง เห็นว่าข้อความที่เขียนไว้ในสัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาซื้อขาย หาใช่สัญญาเช่าซื้อดังที่จำเลยฎีกาไม่ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 บัญญัติไว้ว่าในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อกัน จึงต้องฟังว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อตามเจตนาของโจทก์จำเลยนั้น เห็นว่าบทบัญญัติมาตราดังกล่าวหมายถึงในกรณีนิติกรรมที่ทำกันไว้มีข้อความไม่ชัดแจ้งอาจตีความได้หลายนัย จึงให้ตีความการแสดงเจตนาโดยเพ็งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงเป็นสำคัญยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร แต่สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความชัดแจ้งว่าเป็นสัญญาซื้อขาย ไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ ประกอบกับโจทก์ก็ฟ้องกล่าวอ้างว่าสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้เป็นสัญญาซื้อขาย และให้การปฏิเสธในคดีที่ถูกจำเลยฟ้องว่าไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อดังนี้จึงนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 มาบังคับให้ต้องสืบพยานประกอบเพื่อตีความถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาหาได้ไม่ คดีฟังได้ว่าสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ตามเอกสารหมาย จ.1ไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ"
พิพากษายืน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 171 ในการตีความการแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร
มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US