ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2515
ป.อ. มาตรา 62, 68, 80, 288
บริเวณแถบบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ที่เกิดเหตุเป็นหนองขังน้ำที่มิใช่หนองสาธารณะ ใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลาของจำเลย อยู่ในที่ดินที่จำเลยครอบครองและอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำเลย ก่อนเกิดเหตุราว 10 วัน เครื่องสูบน้ำที่ขอบหนองหายไป คืนเกิดเหตุมืดมองเห็นกันไม่ถนัดโจทก์กับพวกราว 20 คนไปลักลอบหาปลาที่หนองน้ำดังกล่าวจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนเดินไปเงียบๆ เพื่อดูเหตุการณ์เมื่อมาใกล้ที่เกิดเหตุ จำเลยได้ยินเสียงคนลักลอบหาปลามีจำนวนมาก จึงยิงปืนขู่ขึ้น 1 นัด พวกหาปลาแตกตื่น หลายคนวิ่งมาทางจำเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นใครและไม่รู้ว่าผู้ใดมีอาวุธติดมือมาบ้าง ทำให้จำเลยเข้าใจว่าพวกที่ลักลอบจับปลาซึ่งกำลังวิ่งมานั้นจะเข้ามาทำร้ายตน จำเลยจึงใช้ปืนยิงสุ่มๆ ไป 1 นัด (ถูกโจทก์บาดเจ็บสาหัส) แล้วยิงขึ้นฟ้าอีก 1 นัดโดยไม่ได้ยิงซ้ำเติมไปยังพวกโจทก์อีก ถือได้ว่าเป็น การป้องกันตัวจำเลยให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงที่พอสมควรแก่เหตุ
โจทก์ฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืน ขณะโจทก์และผู้อื่นประมาณ 20 คน กำลังจับปลาอยู่ในหนองน้ำสาธารณะมีชื่อแห่งหนึ่งจำเลยได้ใช้ปืนลูกซองยาวยิงโจทก์ติดต่อกัน 3 นัด โดยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนถูกร่างกายโจทก์ 13 แห่ง เนื่องจากได้รับการรักษาดีทันเหตุการณ์และเวลา โจทก์จึงไม่ตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 และริบปืน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์และชีวิตพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้อง ปืนและปลอกกระสุนปืนให้คืนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อกฎหมายที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า ที่เกิดเหตุเป็นที่ลุ่ม เป็นหนองขังน้ำที่มิใช่หนองสาธารณะ มีคันล้อมรอบมีประตูระบายน้ำ ใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลาของจำเลย อยู่ในที่ดินที่จำเลยครอบครอง บริเวณแถบนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก ก่อนเกิดเหตุราว 10 วัน เครื่องสูบน้ำที่ขอบหนองหายไป คืนเกิดเหตุซึ่งเป็นคืนที่มืดมองเห็นกันไม่ถนัดโจทก์กับพวกประมาณ 20 คนไปลักลอบหาปลาที่หนองน้ำดังกล่าว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนจำเลย จำเลยเคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งครบเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว จำเลยเคยบวชเรียนแล้ว เป็นคนมีใจคอเยือกเย็น และใจบุญ ตอนจะเกิดเหตุจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนเดินไปที่เกิดเหตุเงียบ ๆ โดยไม่ได้ฉายไฟฉายเพื่อมาดูเหตุการณ์ก่อน เมื่อมาถึงในระยะไม่ไกลที่เกิดเหตุจำเลยได้ยินเสียงคนลักลอบหาปลามีจำนวนมาก จำเลยจึงยิงปืนขู่ขึ้น 1 นัดโจทก์กับพวกที่หาปลาจึงแตกตื่นวิ่งหนีกันสับสน หลายคนรวมทั้งโจทก์วิ่งมาทางจำเลยกับพวก เพราะความมืดมองเห็นกันไม่ถนัด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และไม่รู้ว่าผู้ใดมีอาวุธอะไรติดมือมาบ้าง ทำให้จำเลยเข้าใจว่า พวกที่ลักลอบจับปลาซึ่งกำลังวิ่งมานั้นจะเข้ามาทำร้ายตนจำเลยจึงใช้ปืนยิงเดาสุ่มไป 1 นัด แล้วยิงขึ้นฟ้าอีก 1 นัดแล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โดยเหตุที่มีคนมาลักลอบจับปลาที่บ่อปลาของจำเลยเป็นจำนวนมากในเวลาค่ำคืน จำเลยยิงปืนขู่ขึ้น 1 นัดย่อมเป็นการป้องกันทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ เมื่อยิงปืนแล้วคนลักจับปลาของจำเลยยังวิ่งสวนทางตรงเข้ามาหาจำเลยเป็นจำนวนหลายคนด้วยความมืด จำเลยไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง และมีอาวุธอะไรมาบ้าง ผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับจำเลยอาจคาดคิดไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาทำร้ายจำเลย การวิ่งสวนทางมาทางเสียงปืนตามธรรมดาก็ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าคนเหล่านั้นน่าจะมีอาวุธจึงได้กล้าวิ่งเข้ามาหาปืนเช่นนั้น ฉะนั้น การที่จำเลยใช้ปืนยิงสุ่ม ๆ ไปยังคนกลุ่มที่วิ่งมาหานั้นเพียง 1 นัด (ถูกโจทก์บาดเจ็บสาหัส) ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวจำเลยเองให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงแล้วก็ยิงขึ้นฟ้าเป็นการขู่อีกหนึ่งนัด ไม่ได้ยิงซ้ำเติมไปยังพวกโจทก์อีก ย่อมนับได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา 68 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำเลยไม่มีความผิด
พิพากษายืน
(ชลอ จามรมาน-ดวง ดีวาจิน-ประพจน์ ถิระวัฒน์)
แหล่งที่มา
กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
แผนก
หมายเลขคดีแดงศาลชั้นต้น
หมายเหตุ
หากมีข้อสงสัยประการใดติดต่อ ที่นี้เลย Tel/Line id : 089-2142456 (ทนายสอง ประธานชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
Line id : lawyer_2 ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ทนายความ)
ท่านสามารถเข้าเยี่ยมชมศึกษาข้อกฎหมาย คำพิพากษา ได้ที่ www.ปรึกษาคดีฟรี.com