ทนายความมีอำนาจดำเนินคดีแม้เลิกบริษัทแล้ว

ทนายความมีอำนาจดำเนินคดีแม้เลิกบริษัทแล้ว
ขณะที่ถูกฟ้องบริษัทยังไม่ได้เลิกกันและได้แต่งตั้งทนายความต่อสู้คดี แม้ต่อมาได้เลิกบริษัทในระหว่างอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้โจทก์มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเพราะทนายความยังมีอำนาจดำเนินคดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6497/2551

ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและได้แต่งตั้งทนายความต่อสู้คดี และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้เลิกบริษัทแล้ว และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี มาตรา 1249 บัญญัติว่า “ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาจำเป็นเพื่อการชำระบัญชี” และมาตรา 1272 บัญญัติว่า “ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น หรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี” เห็นได้ว่า แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้ และคดีนี้โจทก์ฟ้องก่อนที่จำเลยที่ 1 จะเลิกบริษัท คู่กรณียังคงว่ากล่าวคดีกันต่อไปได้

ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้ง บ. เป็นทนายความต่อสู้คดี และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้เลิกบริษัทแล้ว และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2537 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1249 บัญญัติว่า “ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาจำเป็นเพื่อการชำระบัญชี” และมาตรา 1272 บัญญัติว่า “ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น หรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้ และคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้ให้โจทก์ และเป็นการที่โจทก์ฟ้องก่อนที่จำเลยที่ 1 จะเลิกบริษัท ตามบทบัญญัติดังกล่าวคู่กรณียังคงว่ากล่าวคดีกันต่อไปได้ และทนายความของจำเลยที่ 1 ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 26,989,589.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 18,756,657 บาท และ 305,510.95 บาท นับแต่วันที่ 28 มีนาคม 2530 และนับแต่วันฟ้องตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 ให้ยกฟ้องโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์พร้อมคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาล 200,000 บาท มาชำระภายใน 15 วัน ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาต และให้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน โจทก์ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาล ศาลชั้นต้นอนุญาตให้วางเงินค่าขึ้นศาลภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2544 จนกระทั่งวันที่ 4 ธันวาคม 2544 โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้เลิกบริษัทแล้ว และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2537 จำเลยที่ 1 จึงสิ้นสภาพบุคคลตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 ทนายความของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 แล้ว ดังนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไปจึงไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไป และดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ในขณะยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตลอดมาโดยไม่ได้หยิบยกข้อเท็จจริงเรื่องจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชีเสร็จสิ้นเข้าสู่ศาล ศาลจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยที่ 1 ยังคงมีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือไม่ จนกระทั่งศาลได้มีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความ ทั้งโจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี และศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ พฤติการณ์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และแม้ว่าจำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชีเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทนายความของจำเลยที่ 1 ก็ยังมีหน้าที่ต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 1 กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งนายบุญชูเป็นทนายความต่อสู้คดี และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้เลิกบริษัทแล้ว และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2537
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทนายความของจำเลยที่ 1 มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 หรือไม่ และมีเหตุต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 บัญญัติว่า “ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้ได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็น เพื่อการชำระบัญชี” และมาตรา 1272 บัญญัติว่า “ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นหรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้ และคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 กับพวกชำระหนี้ให้โจทก์ และเป็นการที่โจทก์ฟ้องก่อนที่จำเลยที่ 1 จะเลิกบริษัท ตามบทบัญญัติดังกล่าวคู่กรณียังคงว่ากล่าวคดีกันต่อมาได้ และทนายความของจำเลยที่ 1 ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปตามที่เห็นสมควรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2537 ตามคำร้องของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น?

พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเงิน 1,500 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้
( คำนวน เทียมสอาด - ชาลี ทัพภวิมล - ชูเกียรติ ตันทวีวงศ์ )
ศาลแพ่ง - นายณรงค์ศักดิ์ เนียมนัด
ศาลอุทธรณ์ - นายสมสันต์ ศุภศาสตรสิน

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US