ความเสียหายเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมาย

ความเสียหายเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมาย
การที่นำแผ่นเหล็กและทำประตูเหล็กปิดกั้นก็เพราะมีบุคคลภายนอกเข้ามาใช้ทางเข้าออกหอพัก และเพื่อเป็นการป้องกันทรัพย์สินของผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักเป็นการใช้สิทธิตามปกติวิสัยของผู้เป็นเจ้าของที่ดินในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดิน ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นและโจทก์เองก็สามารถประกอบกิจการค้าขายด้านหน้าร้านได้ตามปกติ ซึ่งอาจจะลดความสะดวกลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลย ใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337

คำพิพากษาศาลฎีกาที่-1820/2545

การที่จำเลยที่ 2 นำแผ่นเหล็กปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ หรือทำประตูเหล็กปิดกั้นปากทางเข้าออกหอพัก ล้วนได้กระทำภายในเขตโฉนดที่ดินของตนที่ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 และปากทางเข้าออกหอพักนั้นก็ไม่ได้ตกอยู่ในภารจำยอมอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว โดยเฉพาะการที่บุคคลใดจะใช้ประโยชน์จากที่ดินของบุคคลอื่นได้นั้นต้องมีสิทธิอันมีกฎหมายรองรับ เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเช่นว่านี้จำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินย่อมมีสิทธิที่จะใช้สอย รวมทั้งมีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336

การที่จำเลยที่ 2 นำแผ่นเหล็กและทำประตูเหล็กปิดกั้นก็เพราะมีบุคคลภายนอกเข้ามาใช้ทางเข้าออกหอพัก และเพื่อเป็นการป้องกันทรัพย์สินของผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักเป็นการใช้สิทธิตามปกติวิสัยของผู้เป็นเจ้าของที่ดินในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นและโจทก์เองก็สามารถประกอบกิจการค้าขายด้านหน้าร้านได้ตามปกติ ซึ่งอาจจะลดความสะดวกลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337

ขณะทำสัญญาซื้อขายตึกแถว จำเลยที่ 1 ได้ตกลงให้โจทก์ทำประตูเหล็กปิดเปิดที่ผนังด้านข้างของตึกได้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้มีการทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานและเป็นเพียงบุคคลสิทธิไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อที่ดินต่อจากจำเลยที่ 1 และไม่ใช่กรณีผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนแผ่นเหล็กที่ปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์และประตูเหล็กที่ปิดกั้นทางเข้าออกตลาดสดและหอพักออก หากไม่ยอมรื้อถอน ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,500บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนแผ่นเหล็กที่ปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ และประตูเหล็กที่ปิดกั้นปากทางเข้าออกตลาดสดและหอพักออก
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนแผ่นเหล็กที่ปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ออก และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 24 กรกฎาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะรื้อถอนแผ่นเหล็กออก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้รื้อถอนแผ่นเหล็กที่ปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ และขอให้ใช้ค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าวเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1835 ตำบลสมเด็จเจ้าพระยา (ตลาดสมเด็จ) อำเภอธนบุรี (บางลำภูล่าง)กรุงเทพมหานคร และ 7174 ตำบลสมเด็จเจ้าพระยา (ตลาดสมเด็จ) อำเภอคลองสาน(บางลำภูล่าง) กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกัน จำเลยที่ 1 แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยและก่อสร้างตึกแถวขายให้บุคคลอื่นโดยตกแถวด้านที่ติดถนนท่าดินแดงมีประมาณ 20 ห้อง ตึกแถวด้านที่ติดถนนซอยท่าดินแดงมีประมาณ 10 ห้อง ส่วนที่ดินด้านหลังตึกแถวดังกล่าวก่อสร้างเป็นหอพักให้ผู้อื่นเช่า เมื่อปี 2518 โจทก์ซื้อตึกแถวเลขที่ 351/49 ซึ่งเป็นห้องริม ด้านหน้าติดถนนซอยท่าดินแดง 13 ด้านข้างติดปากทางเข้าออกหอพักจากจำเลยที่ 1 ในราคา 160,000 บาท ซึ่งแพงกว่าตึกแถวห้องอื่น ๆ ต่อมาปี 2536 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมกิจการหอพักให้แก่จำเลยที่ 2 ปี 2540 จำเลยที่ 2 นำแผ่นเหล็กปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์และทำประตูเหล็กปิดกั้นปากทางเข้าออกหอพักสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 นำแผ่นเหล็กปิดกั้นประตูด้านข้างตึกแถวของโจทก์ก็ดีหรือทำประตูเหล็กปิดกั้นปากทางเข้าออกหอพักก็ดี ล้วนได้กระทำภายในเขตโฉนดที่ดินของตนที่ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ทั้งไม่ปรากฏว่าปากทางเข้าออกหอพักนั้นตกอยู่ในภารจำยอมอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว โดยเฉพาะการที่บุคคลใดจะใช้ประโยชน์จากที่ดินของบุคคลอื่นได้นั้นต้องมีสิทธิอันมีกฎหมายรองรับ เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเช่นว่านี้ จำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินย่อมมีสิทธิที่จะใช้สอยรวมทั้งมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งในข้อนี้จำเลยที่ 2 ก็นำสืบว่าที่ต้องนำแผ่นเหล็กและทำประตูเหล็กปิดกั้นก็เพราะมีบุคคลภายนอกเข้ามาใช้ทางเข้าออกหอพัก และเพื่อเป็นการป้องกันทรัพย์สินของผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักจึงได้กระทำเช่นนั้นเห็นได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกติวิสัยของผู้เป็นเจ้าของที่ดินในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น และโจทก์เองก็สามารถประกอบกิจการค้าขายด้านหน้าร้านได้ตามปกติการถูกปิดด้านข้างก็เพียงแต่ทำให้คนในหอพักต้องเดินออกมาซื้อของทางหน้าร้านเท่านั้น โดยอาจลดความสะดวกลงไปบ้าง แต่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 นอกจากนี้โจทก์ยังออกสู่ทางสาธารณะทางด้านหน้าซึ่งติดถนนซอยท่าดินแดง 13 แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่า ขณะทำสัญญาซื้อขายตึกแถวเลขที่ 351/49 จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ทำประตูเหล็กปิดเปิดที่ผนังด้านข้างของตึกแถวได้ก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และเป็นเพียงบุคคลสิทธิไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อที่ดินต่อจากจำเลยที่ 1 ทั้งไม่ใช่กรณีผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
( สุเมธ ตังคจิวางกูร - ชวลิต ยอดเณร - ประเสริฐ เขียนนิลศิริ )

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US